ในศตวรรษที่ 21
การเรียนแบบท่องจำ และการเรียนเพื่อรู้แต่ข้อมูล (information) เพียงอย่างเดียว จะมีประโยชน์น้อยลงทุกที หรือเรียกได้ว่า ความรู้จาก 1i
ไม่เพียงพอ แต่ต้องปรับเป็น 4i เพราะเรากำลังเจอโจทย์ท้าทายแห่งยุค
ในการพัฒนาคนให้พร้อมสำหรับ “งานที่ยังไม่มีในวันนี้
โดยต้องใช้เทคโนโลยีที่ยังไม่เกิด เพื่อแก้ปัญหาที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร”
ปัจจุบันมีโปรแกรมหมากล้อมที่สามารถเอาชนะมนุษย์ได้แล้ว
และหลังจากนั้นไม่นานก็มีโปรแกรมอีกตัว ที่เก่งกว่าเดิมสามารถเอาชนะแชมป์โลกหมากล้อมได้สำเร็จ
คือ Alpha
Go Zero เป็นโปรแกรมที่เรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งหมด
ไม่มีคนสอนหรือลงโปรแกรมอะไรไว้ เพื่อสนับสนุนข้อความที่ว่าการเรียนแบบท่องจำมีประโยชน์น้อยลง
ขอยกตัวอย่างเรื่องดาวพลูโต ดาวพลูโตเคยเป็นส่วนหนึ่งของดาวนพเคราะห์ในยุคหนึ่ง
ไม่กี่ปีมานี้ดาวพลูโตถูกลดฐานะให้เป็นดาวเคราะห์แคระ และในเวลาเดียวกันก็ค้นพบดาวเคราะห์แคระแบบดาวพลูโตอีกสี่ดวง
ถ้าเราเรียนแบบท่องจำความรู้เหล่านี้จะล้าสมัยและไร้ประโยชน์สำหรับโลกอนาคตที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
เราจะต้องเตรียมพร้อมให้เด็กซึ่งจะเป็นพลเมืองที่ขับเคลื่อนประเทศต่อไปสำหรับงานที่ยังไม่มีในวันนี้
โดยต้องใช้เทคโนโลยีที่ยังไม่เกิด เพื่อแก้ปัญหาที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
ซึ่งในอนาคตมนุษย์เราต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ตั้งแต่เกิดจนแก่
สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้มนุษย์ยอมรับการเรียนรู้นั้น
เมื่อก่อนคนที่จบปริญญาตรีได้ก็มีหลักประกันในการทำงาน
จากนี้ไปไม่ใช่อีกแล้ว การเรียนในปัจจุบันต้องมี 4I ได้แก่
(i)magination – จินตนาการ
(i)nspiration – แรงดลใจ
(i)nsight – ความเข้าใจลุ่มลึก
(i)ntuition – ญานทัศน์
การหยั่งรู้
เรากำลังเจอโจทย์ที่ท้าทาย
หากเราเน้นแต่การท่องจำจากบทเรียน การเรียนรู้ต่อไปต้องการทักษะแห่งโลกอนาคตหรือทักษะในศตวรรษที่
21 มี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ ASK (Attitude, Skill,
Knowledge) การสอนในปัจจุบันเน้นความรู้มากเกินไป
เน้นทัศนคติและทักษะน้อยเกินไป เราต้องสอนให้เด็กคิดสร้างสรรค์ ใฝ่รู้
หาความรู้ด้วยตัวเอง สื่อสารเก่ง อดทน และเรียนรู้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย
การเรียนการสอนต้องเปลี่ยนแปลงไป
โดยผู้เรียนมีบทบาทมากขึ้น หรือที่เรียกว่า การเรียนรู้ที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
(Active
Learning) ครูจะมีบทบาทน้อยลง เพราะการบรรยายทำให้เด็กซึมซับความรู้ได้น้อยกว่าการปฏิบัติ
Active Learning คืออะไร? สอนยังไงให้เป็น
Active Learning?
Active Learning คือ
กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทำ
และได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป
เป็นการจัดกิจกรรมเรียนรู้ภายใต้สมมติฐาน 2 ประการ คือ
1. การเรียนรู้เป็นความพยายามโดยธรรมชาติของมนุษย์
2. แต่ละคนมีแนวทางในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
ความรู้ที่ได้เกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนต้องได้มีโอกาสลงมือกระทำมากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว
เกิดการเรียนรู้จากการอ่าน การเขียน การโต้ตอบ และการวิเคราะห์ปัญหา
อีกทั้งให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดขั้นสูง ได้แก่ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์
และการประเมินค่า
จากรูปจะเห็นได้ว่า
กรวยแห่งการเรียนรู้นี้ได้แบ่งเป็น 2 กระบวนการ คือ
1. กระบวนการเรียนรู้
Passive Learning
• กระบวนการเรียนรู้โดยการอ่านท่องจำผู้เรียนจะจำได้ในสิ่งที่เรียนได้เพียง
10%
• การเรียนรู้โดยการฟังบรรยายเพียงอย่างเดียว
โดยที่ผู้เรียนไม่มีโอกาสได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมอื่นในขณะที่อาจารย์สอนเมื่อเวลาผ่านไปผู้เรียนจะจำได้เพียง
20%
• หากในการเรียนการสอนผู้เรียนมีโอกาสได้เห็นภาพประกอบด้วยก็จะทำให้ผลการเรียนรู้คงอยู่ได้เพิ่มขึ้นเป็น
30%
• กระบวนการเรียนรู้ที่ผู้สอนจัดประสบการณ์ให้กับผู้เรียนเพิ่มขึ้น
เช่น การให้ดูภาพยนตร์ การสาธิต จัดนิทรรศการให้ผู้เรียนได้ดู
รวมทั้งการนำผู้เรียนไปทัศนศึกษา หรือดูงาน ก็ทำให้ผลการเรียนรู้เพิ่มขึ้นเป็น 50%
2. กระบวนการเรียนรู้
Active Learning
• การให้ผู้เรียนมีบทบาทในการแสวงหาความรู้และเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์จนเกิดความรู้
ความเข้าใจนำไปประยุกต์ใช้สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่าหรือ
สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และพัฒนาตนเองเต็มความสามารถ รวมถึงการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เขาได้มีโอกาสร่วมอภิปรายให้มีโอกาสฝึกทักษะการสื่อสาร
ทำให้ผลการเรียนรู้เพิ่มขึ้น 70%
• การนำเสนองานทางวิชาการ
เรียนรู้ในสถานการณ์จำลอง ทั้งมีการฝึกปฏิบัติในสภาพจริง
มีการเชื่อมโยงกับสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผลการเรียนรู้เกิดขึ้นถึง 90%
โลกใบใหม่เลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว
เพื่อให้เด็กยุคต่อไปสามารถเกิดการเรียนรู้ไตลอดชีวิต
ทักษะสำหรับโลกอนาคตจึงเป็นสิ่งจำเป็น
POWER POINT CLICK
อ้างอิงhttps://tdri.or.th/2017/12/thinkx2-225/
https://www.youtube.com/watch?v=qWTpnlOYcrY
http://www.aksorn.com/active-learning/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น